ดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัย ห่างไกล “RSV”

ดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัย ห่างไกล “RSV”
- เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี โดยเฉพาะเด็กทารกอายุน้อยกว่า 3 เดือน อาจทำให้เด็กหยุดหายใจได้
- เด็กที่มีโรคประจำตัวเช่นภาวะโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง เด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีภาวะขาดสารอาหาร
- เด็กที่คลอดก่อนกำหนด
ติดเชื้อ RSV จะมีอาการอย่างไร ?
-
ไข้สูง
-
ไอถี่
-
หายใจหอบเหนื่อย
-
หายใจมีเสียงหวีด
-
เสียงครืดคราดในลำคอ
-
ในบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น หูอักเสบ ไซนัสหรือปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ซึ่งอาจทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้นได้
จะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กเป็น RSV
แพทย์สามารถตรวจได้จากน้ำมูก ซึ่งจะตรวจพบเชื้อ RSV เพียงร้อยละ 53-96 ของผู้ป่วยทีติดเชื้อ RSV การตรวจทำได้ในบางโรงพยาบาลเท่านั้น อย่างไรก็ตามไม่มีความจำเป็นต้องตรวจทุกรายเพราะการตรวจพบหรือไม่พบเชื้อ RSV ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรักษา แต่ช่วยในการแยกผู้ป่วยเพื่อลดการแพร่กระจายโรค [1]
- โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแพร่เชื้อได้นาน 3-8 วันหลังมีอาการป่วยแต่อาจนานถึง 3-4 สัปดาห์ในเด็กเล็กหรือเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- หากพบว่าเด็กมีอาการป่วย ควรให้หยุดเรียนจนกว่าอาการจะหายหรืออย่างน้อย 5-7 วัน เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
- หากเด็กมีไข้สูง ไม่กิน ไม่เล่น หายใจเร็วกว่าปกติ หายใจมีเสียงหวีด เซื่องซึม ผู้ปกครองควรจะพามาพบแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
- ให้เด็กดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เสมหะเหนียว
- เมื่อเป็นแล้วสามารถเป็นได้อีกหลายครั้ง
- ผู้ใหญ่สามารถติดเชื้อ RSV ได้แต่อาการมักไม่รุนแรงเนื่องจากมีภูมิคุ้มกันมาบ้างแล้ว [1]
การป้องกันการติดเชื้อ RSV ด้วยภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (Nirsevimab)
ปัจจุบันมีทางเลือกในการป้องกันโรคติดเชื้อ RSV ที่ได้ผลค่อนข้างดี โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพคือการใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป Nirsevimab ซึ่งเป็นแอนติบอดีชนิดพิเศษที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัส RSV ได้ทันทีหลังฉีด ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อและบรรเทาความรุนแรงของโรคได้อย่างชัดเจน
อายุที่สามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ได้
วิธีการปฏิบัติเบื้องต้นเพื่อหลีกเลี่ยง และลดโอกาสในการติดเชื้อ RSV
- ทุกคนในบ้านหมั่นล้างมือบ่อย ๆ ทั้งมือของตนเองและลูกน้อย เพราะการล้างมือนอกจากจะลดเชื้อ RSV และเชื้ออื่นๆที่ติดมากับมือทุกชนิด ทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ถึงร้อยละ 70
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไข้ ไอ น้ำมูก
- หลีกเลี่ยงเด็กทั้งสบายดีหรือป่วยไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัด
- ทำความสะอาดบ้าน รวมทั้งของเล่นเด็กเป็นประจำ
- ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ทารกที่สูดดมควันบุหรี่เข้าไปมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัส RSV และพบอาการที่รุนแรงได้มากกว่า
- ควรรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำมากๆ และให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา
- ออกกำลังกายในอากาศที่ถ่ายเท เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง
- สำหรับคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองเมื่อบุตรหลานมีอาการป่วยเป็นไข้หวัด ควรแยกเด็กออกจากเด็กปกติเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ
หากเด็กๆมีอาการป่วย เช่น ไอ มีน้ำมูก หรือไข้ ควรแยกเด็กออกจากผู้อื่น หลีกเลี่ยงการพาไปในที่แออัด และรักษาความสะอาดของใช้ส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะของที่เด็กใช้ร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว หรือของเล่น สำหรับเด็กที่เข้าเนิร์สเซอรี่หรือโรงเรียนอนุบาล หากเริ่มมีอาการป่วย ควรหยุดเรียนจนกว่าอาการจะหายดี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้เด็กคนอื่น ในเด็กกลุ่มเสี่ยงหรือในช่วงฤดูระบาด อาจพิจารณาฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป Nirsevimab ซึ่งช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ RSV ได้
เอกสารอ้างอิง
แพทย์หญิง กิจจาวรรณ เฮงคราวิทย์ และรองศาสตราจารย์(พิเศษ)นายแพทย์ ทวี โชติพิทยสุนนท์. (2566). โรคติดเชื้ออาร์เอสวี RSV, สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย
สนับสนุนข้อมูลโดย : พญ. เบญจวรรณ สังฆวะดี แพทย์เฉพาะทางด้านกุมารเวชศาสตร์ โรคระบบทางเดินหายใจ
ศูนย์การแพทย์ : ศูนย์กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1745 ต่อ ศูนย์กุมารเวชกรรม