Bangpakok Hospital
  • A
  • A
  • A
BPK Hotline

ดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัย ห่างไกล “RSV”

16 ก.ย. 2568

 

ดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัย ห่างไกล “
RSV”
"ฤดูฝน" อาจแฝงมาด้วยเชื้อพาหะของโรคต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วย โดยเฉพาะในระบบทางเดินหายใจ ไม่ว่าจะเป็นทางจมูก คอหอย หลอดลม หรือปอด ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น เชื้อ RSV เป็นไวรัสซึ่งมีการระบาดทุกปี มักระบาดในช่วงฤดูฝนหรืออาจต่อเนื่องจนถึงช่วงต้นฤดูหนาว [1]
 
RSV คืออะไร ?
RSV คือไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม ชื่อเต็มว่า Respiratory Syncytial Virus มี 2 สายพันธุ์ คือ RSV-A และ RSV-B เป็นไวรัสก่อการติดเชื้อทางเดินหายใจของเด็กทั่วโลก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เป็นส่วนมาก [1]
 
RSV กระทบต่อระบบทางเดินหายใจในเด็กอย่างไร
ทำให้เกิดอาการทางระบบหายใจส่วนบน เช่น น้ำมูก ไอ จาม เจ็บคอ ในบางรายอาจมีการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น หลอดลมฝอยอักเสบ ปอดอักเสบ ในกลุ่มเด็กเล็ก หรือเด็กที่มีโรคประจำตัวอาจเกิดอาการรุนแรง ระบบหายใจล้มเหลว ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจได้
 
ผู้ป่วยเด็กกลุ่มใดที่อาจมีอาการรุนแรงได้
  • เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี โดยเฉพาะเด็กทารกอายุน้อยกว่า 3 เดือน อาจทำให้เด็กหยุดหายใจได้
  • เด็กที่มีโรคประจำตัวเช่นภาวะโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง เด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีภาวะขาดสารอาหาร
  • เด็กที่คลอดก่อนกำหนด

ติดเชื้อ
RSV จะมีอาการอย่างไร ?
ช่วงแรกมักมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดาเช่น ไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ผู้ใหญ่หรือเด็กโตที่แข็งแรงดีอาการมักไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่สำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ที่ติดเชื้อครั้งแรก พบร้อยละ 20-30 ที่มีอาการโรคลุกลามไปทางเดินหายใจส่วนล่าง ไม่ว่าจะเป็นหลอดลม หรือเนื้อปอด เสมหะเหนียวอุดทางเดินหายใจ หายใจลำบาก อาจทำให้เกิดหลอดลมฝอยอักเสบและปอดอักเสบตามมาได้ โดยมักแสดงอาการดังนี้
  • ไข้สูง
  • ไอถี่
  • หายใจหอบเหนื่อย
  • หายใจมีเสียงหวีด
  • เสียงครืดคราดในลำคอ
  • ในบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น หูอักเสบ ไซนัสหรือปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ซึ่งอาจทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้นได้


จะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กเป็น
RSV
แพทย์สามารถตรวจได้จากน้ำมูก ซึ่งจะตรวจพบเชื้อ RSV เพียงร้อยละ 53-96 ของผู้ป่วยทีติดเชื้อ RSV การตรวจทำได้ในบางโรงพยาบาลเท่านั้น อย่างไรก็ตามไม่มีความจำเป็นต้องตรวจทุกรายเพราะการตรวจพบหรือไม่พบเชื้อ RSV ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรักษา แต่ช่วยในการแยกผู้ป่วยเพื่อลดการแพร่กระจายโรค [1]

 
เชื้อ RSV สามารถติดต่อได้อย่างไร
เชื้อไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อกันง่าย ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ โดยไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทาง ตา จมูก ปาก ผ่านการไอหรือจาม ติดต่อผ่านการหายใจเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV เช่น น้ำมูก น้ำลายหรือสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งเช่น โต๊ะ เก้าอี้ ลูกบิดประตู ของเล่น เป็นต้น เชื้อ RSV สามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายชั่วโมงและสามารถอยู่ที่มือของเราได้นานประมาณ 30 นาที ดังนั้นผู้ใหญ่ที่มีเด็กเล็กป่วยในบ้านควรล้างมือบ่อยๆก่อนสัมผัสเด็ก [1]
 
คำแนะนำเมื่อเป็น RSV
  • โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแพร่เชื้อได้นาน 3-8 วันหลังมีอาการป่วยแต่อาจนานถึง 3-4 สัปดาห์ในเด็กเล็กหรือเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • หากพบว่าเด็กมีอาการป่วย ควรให้หยุดเรียนจนกว่าอาการจะหายหรืออย่างน้อย 5-7 วัน เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
  • หากเด็กมีไข้สูง ไม่กิน ไม่เล่น หายใจเร็วกว่าปกติ หายใจมีเสียงหวีด เซื่องซึม ผู้ปกครองควรจะพามาพบแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
  • ให้เด็กดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เสมหะเหนียว
  • เมื่อเป็นแล้วสามารถเป็นได้อีกหลายครั้ง 
  • ผู้ใหญ่สามารถติดเชื้อ RSV ได้แต่อาการมักไม่รุนแรงเนื่องจากมีภูมิคุ้มกันมาบ้างแล้ว [1]
 
การรักษาเมื่อลูกเป็น RSV
ผู้ที่ติดเชื้อ RSV จะแสดงอาการได้เร็วที่สุดหลังรับเชื้อได้ 2 วัน และช้าที่สุดประมาณ 8 วัน โดยส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ 4-6 วัน โดยปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV มีแค่รักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ไอละลายเสมหะ ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลมหรือน้ำเกลือ เคาะปอดและระบายเสมหะ
 

การป้องกันการติดเชื้อ RSV ด้วยภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (Nirsevimab)

ปัจจุบันมีทางเลือกในการป้องกันโรคติดเชื้อ RSV ที่ได้ผลค่อนข้างดี โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพคือการใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป Nirsevimab ซึ่งเป็นแอนติบอดีชนิดพิเศษที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัส RSV ได้ทันทีหลังฉีด ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อและบรรเทาความรุนแรงของโรคได้อย่างชัดเจน


อายุที่สามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป
RSV ได้

ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV สามารถฉีดให้กับเด็กตั้งแต่ แรกเกิด – 24 เดือน โดยสามารถฉีดได้ทันทีในช่วง ฤดูกาลระบาด เนื่องจากสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ทันทีหลังฉีด

วิธีการปฏิบัติเบื้องต้นเพื่อหลีกเลี่ยง และลดโอกาสในการติดเชื้อ RSV

  • ทุกคนในบ้านหมั่นล้างมือบ่อย ๆ ทั้งมือของตนเองและลูกน้อย เพราะการล้างมือนอกจากจะลดเชื้อ RSV และเชื้ออื่นๆที่ติดมากับมือทุกชนิด ทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ถึงร้อยละ 70
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไข้ ไอ น้ำมูก
  • หลีกเลี่ยงเด็กทั้งสบายดีหรือป่วยไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัด
  • ทำความสะอาดบ้าน รวมทั้งของเล่นเด็กเป็นประจำ
  • ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ทารกที่สูดดมควันบุหรี่เข้าไปมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัส RSV และพบอาการที่รุนแรงได้มากกว่า
  • ควรรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำมากๆ และให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา
  • ออกกำลังกายในอากาศที่ถ่ายเท เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง
  • สำหรับคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองเมื่อบุตรหลานมีอาการป่วยเป็นไข้หวัด ควรแยกเด็กออกจากเด็กปกติเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ

     หากเด็กๆมีอาการป่วย เช่น ไอ มีน้ำมูก หรือไข้ ควรแยกเด็กออกจากผู้อื่น หลีกเลี่ยงการพาไปในที่แออัด และรักษาความสะอาดของใช้ส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะของที่เด็กใช้ร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว หรือของเล่น สำหรับเด็กที่เข้าเนิร์สเซอรี่หรือโรงเรียนอนุบาล หากเริ่มมีอาการป่วย ควรหยุดเรียนจนกว่าอาการจะหายดี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้เด็กคนอื่น ในเด็กกลุ่มเสี่ยงหรือในช่วงฤดูระบาด อาจพิจารณาฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป Nirsevimab ซึ่งช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ RSV ได้

เอกสารอ้างอิง

แพทย์หญิง กิจจาวรรณ เฮงคราวิทย์ และรองศาสตราจารย์(พิเศษ)นายแพทย์ ทวี โชติพิทยสุนนท์. (2566). โรคติดเชื้ออาร์เอสวี RSV, สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

สนับสนุนข้อมูลโดย : พญ. เบญจวรรณ สังฆวะดี แพทย์เฉพาะทางด้านกุมารเวชศาสตร์ โรคระบบทางเดินหายใจ
ศูนย์การแพทย์ : ศูนย์กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1745 ต่อ ศูนย์กุมารเวชกรรม
                                    

Go to top
Copyright © 2019 Bangpakok Hospital All rights reserved.